ผช.รมต.พาผู้ต้องหาคดีปล้น “พ.ต.ท.” ขอความเป็นธรรม ถูกตั้งข้อหาเกินจริง


Loading...

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 28 เม.ย. ที่ สน.โชคชัย นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม พร้อม นายกษิดิ์เดช ชุติมันต์ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ และนายเฉลิมวงศ์ ทาปลัด อายุ 45 ปี หนึ่งในผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 488/2563 ข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ผู้เสียหายคือ พ.ต.ท.ทองเปลว หาญไพบูลย์ สว.กก.สส.บก.น.5 ได้เข้าพบ พ.ต.อ.พรทวี สมวงค์ ผกก.สน.โชคชัย หลังคดีดังกล่าวมีข้อเท็จจริงจาก 2 ฝ่ายออกมาไม่ตรงกัน และเกรงว่าจะเป็นการแจ้งข้อหาเกินกว่าเหตุหรือไม่

พ.ต.อ.พรทวี สมวงค์ ผกก.สน.โชคชัย กล่าวว่า เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. วันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา สน.โชคชัย รับแจ้งเหตุประทุษร้ายต่อทรัพย์ มี พ.ต.ท.ทองเปลวเป็นผู้เสียหาย แต่งกายชุดไปรเวทขี่รถจักรยานยนต์จะกลับที่พัก มาถึงปากซอยถนนประดิษฐ์มนูธรรมซอย 6 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กทม. แล้วมีชาย 3 คน ประกอบด้วย นายเฉลิมวงศ์ นายเสถียร ศิลาแสง อายุ 45 ปี และนายดนัย เขียวนาค อายุ 37 ปี ขับรถยนต์กระบะมาจี้ท้ายอย่างกระชั้นชิด พร้อมบีบแตรเสียงดัง พ.ต.ท.ทองเปลวจึงหยุดรถ แล้วกลุ่มผู้ต้องหาได้มารุมล้อมก่อนใช้มือผลักอกจนล้มลง แล้วใช้เท้าเหยียบ พ.ต.ท.ทองเปลวให้นอนกับพื้น พร้อมถามว่าไปไหน ดื่มสุราหรือไม่ แล้ว 1 ใน 3 ผู้ต้องหาได้แย่งโทรศัพท์มือถือของสารวัตรนายนี้ไป ก่อนจะทราบว่าเป็นตำรวจจึงรีบขอโทษ

พ.ต.อ.พรทวี กล่าวต่อมา สารวัตรจึงแย่งโทรศัพท์มือถือคืน ก่อนที่กลุ่มผู้ต้องหาจะหนีขึ้นรถยนต์ขับหลบหนีไป แต่ตำรวจสามารถจับกุมนายเสถียร ศิลาแสงได้ จึงคุมตัวไปสอบสวนที่ สน.โชคชัย ก่อนแจ้งข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง และปล้นทรัพย์ เนื่องจากมีพฤติกรรมเข้าข่ายความผิดดังกล่าว ต่อมาวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ศาลอาญาได้พิจารณาออกหมายจับนายเฉลิมวงศ์และนายดนัย ก่อนจับกุมทั้ง 2 คนได้ ภายหลังผู้ต้องหาทั้งหมดประกันตัวออกไป นายเฉลิมวงศ์ได้ไปร้องเรียนต่อผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากข้อเท็จจริงไม่ตรงกัน และแจ้งข้อหาเกินกว่าเหตุหรือไม่
Loading...

พ.ต.อ.พรทวี กล่าวว่า ตอนนี้ได้ปรึกษาหารือกับนายสามารถ และจะตั้งคณะพนักงานสอบสวน 3 นาย เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างรอบคอบ ยืนยันให้ความเป็นธรรมอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ตามหลักกฎหมายแล้ว การปล้นคือการเอาทรัพย์สินผู้อื่นโดยใช้กำลังขู่เข็ญมากกว่า 3 คนขึ้นไป แม้ว่าจะได้ทรัพย์ไปจากเจ้าของแล้วหรือไม่ก็ถือว่าความผิดสำเร็จ ซึ่งมีฎีการะบุไว้แล้วชัดเจน แต่ต้องตรวจสอบหลักฐานอีกครั้ง เนื่องจากคดีนี้ยอมความไม่ได้ แต่อาจมีบางข้อหาที่ยอมความได้ตาม พ.ร.บ.ไกล่เกลี่ย เช่น ยักยอก หรือฉ้อโกง อย่างไรก็ตามที่จุดเกิดเหตุมีกล้องวงจรปิดอยู่ 1 ตัว โดยกำลังไล่ตรวจสอบกล้องในบริเวณว่าก่อนเกิดเหตุเป็นอย่างไร ซึ่งข้อเท็จจริงที่ตรงกันตอนนี้เพียงแค่สารวัตรล้มลงในพุ่มไม้จนมีแผลช้ำ

ด้านนายเฉลิมวงศ์ กล่าวว่า วันเกิดเหตุตนขับรถกระบะกับลูกน้องออกจากซอยลาดพร้าว 87 วิ่งไปตามเลียบด่วนรามอินทรา พบเห็นชายขี่จักรยานยนต์มาเลนขวาสุด แต่ด้วยความที่ถนนเส้นนี้นั้นรถวิ่งเร็ว จึงบีบแตรใส่รถจักรยานยนต์ แล้วเปิดกระจกถามไปว่าทำไมไม่ชิดซ้าย ตำรวจจึงจอดรถริมถนนเพื่อพูดคุยกัน พอคุยกันเสร็จปรากฏว่าตำรวจไปดึงกุญแจรถกระบะตนไป จึงยื้อแย่งกัน แล้วผลักตำรวจล้มลง ก่อนจะบอกให้ลูกน้องแยกย้ายกันกลับเพราะใกล้เวลาเคอร์ฟิว ยืนยันว่าไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ดึงโทรศัพท์หรือทรัพย์สินใดไป ทั้งนี้ ตนอยากฝากขอโทษตำรวจนายดังกล่าว เนื่องจากวันเกิดเหตุตนไม่ทราบว่าคู่กรณีเป็นตำรวจ และอาจใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ.
Loading...