Smith&Wesson 66-8 คอมแบ็ต .357 แม็กนั่ม ใหม่ล่าสุด



Loading...
ในปี 1889 โคลท์เป็นรายแรกที่ทำปืนลูกโม่แบบโครงชิ้นเดียว มีบานพับให้เปิดโม่ออกด้านข้าง หลังจากนั้นเจ็ดปี สมิธจึงทำรุ่น “แฮนด์อีเจ็คเตอร์” (Hand ejector) เปิดล็อกโม่โดยดึงปลายก้านคัดปลอกไปด้านหน้า ใช้กระสุน .32 และในปี 1899 ก่อนเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 สมิธออกปืนรุ่น “เอ็มพี” (Military & Police) เพิ่มปุ่มปลดโม่ไว้ด้านซ้ายโครงปืน ใช้กระสุนออกแบบใหม่คือ .38 สเปเชียล ถือได้ว่าเป็นกระบอกแรกของปืนลูกโม่สมิธโครงขนาดกลาง (K-frame) ที่ยืนยงมาถึงทุกวันนี้ ได้รหัสตัวเลขในปี 1957 เป็น โมเดล 10 และปืนโครง K รุ่นหลังได้เลข 1x ไล่กันไป ในขณะที่โครงใหญ่ใช้ 2x และโครงเล็กใช้ 3x



ปืน K-frame ที่นักสะสมถือกันว่าดีที่สุดของสมิธ คือชุด “มาส เตอร์พีซ” (Masterpiece) สามขนาด .38 Special, .32 S&W และ .22 LR เป็นปืนยิงเป้าลำกล้อง 6 นิ้ว เรียกกันว่า K-38, K-32 และ K-22 ตามขนาดกระสุน เฉพาะ K-38 ได้รับความนิยมสูงสุดเพราะใช้กระสุนขนาดเดียวกับปืนตำรวจ สมิธจึงนำ K-38 ไปใส่ลำกล้อง 4 นิ้ว ติดศูนย์หน้าลาดแบบต่อสู้ ศูนย์หลังยิงเป้าเหมือนเดิม ตั้งชื่อว่า “คอมแบ็ต มาสเตอร์พีซ” (Combat Masterpiece) โดยในวงการเรียกกันว่า “สมิธ คอมแบ็ต” เป็นที่เข้าใจว่าหมายถึงปืนยอดนิยมรุ่นนี้ ช่วงที่สมิธเปลี่ยนการเรียกชื่อเป็นเลขรหัส K-38 กับ คอมแบ็ต คือโมเดล 14, 15 และ K-32 กับ K-22 คือโมเดล 16, 17 และมี K-22 รุ่นคอมแบ็ต ได้โมเดล 18​


ปืนโครง K ตัวสุดท้ายที่ใช้วัสดุเหล็กรมดำ คือ “คอมแบ็ต แม็กนั่ม” (Combat Mag num) ที่ได้รหัสตัวเลขโมเดล 19 เป็นการปรับแบบ คอมแบ็ต มาสเตอร์พีซให้แข็งแรงขึ้น ยิงกระสุนขนาด .357 แม็กนั่มได้ โดยมิติตัวปืนเท่าเดิม กระสุน .38 กับ .357 หน้าตัดหัวกระสุนเท่ากัน คือ .357 นิ้ว แต่เดิมเรียก .38 ตามขนาดปลอก เมื่อสมิธยืดปลอกยากขึ้น อัดดินให้แรงดันสูงขึ้นเป็น .357 แม็ก นั่ม ตัวปืนยังรับได้โดยอาศัยความก้าว หน้าด้านโลหการ จุดที่เพิ่มจาก คอมแบ็ต เดิม คือฝักหุ้มก้านคัดปลอกใต้ลำกล้อง ช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวปืนเล็กน้อย ลดแรงรีคอยล์เมื่อยิงกระสุนแรงสูง



 ปี 1965 เริ่มเข้ายุควัสดุ “สเตนเลส” ของสมิธ จากแบบปืนเหล็กดำเดิม สมิธทำปืนรุ่นขายดีเป็นคู่กัน ให้รหัส 6x สำหรับปืนใหม่เหล็กปลอดสนิม คู่ของ โมเดล 19 คือโมเดล 66 เปิดตัวในปี 1970 เริ่มออกขายปี 1971 และมีวิวัฒนาการเรื่อยมาดังนี้

1971 : เริ่มตอกเลขโมเดล 66 ใต้บานพับ
1977 : 66-1 ย้ายปลอกกันแก๊สจากแกนบานพับ ไปไว้หน้าโม่
1982 : 66-2 โม่ยาวขึ้น, ไม่ทำขอบหุ้มจานท้ายกระสุน
1986 : 66-3 เปลี่ยนแบบเข็มติดนกสับ, แป้นรอบเข็มในโครงปืน, แป้นคัดปลอก
1994 : 66-4 เปลี่ยนแบบศูนย์หลัง, แป้นคัดปลอก, ใช้ด้ามยาง
1998 : 66-5 เพิ่มสันรับท้ายโม่ที่โครง, หลังด้ามเรียบ, เข็มลอย, ชิ้นส่วน MIM
 2002 : 66-6 เพิ่มกุญแจล็อกเซียร์
2003 : 66-7 ลำกล้องสองชั้น
2005 : ยกเลิกการผลิต
2014 : 66-8 เริ่มผลิตใหม่ ลำกล้อง 4.25 นิ้ว, เพิ่มตัวล็อกที่บานพับ
2017 : เพิ่มลำกล้อง 2.75 นิ้ว


 แม้ว่าจะเกิดในยุครหัสตัวเลข แต่นักนิยมปืนก็ยังนิยมเรียกชื่อที่สื่อความหมาย ล่าสุด สมิธ สลักชื่อรุ่นกำกับไว้ที่ลำกล้องว่า “Combat Magnum” มีสองรุ่นคือ โมเดล 69 โครง L กับ โมเดล 66-8 โครง K ขนาด .357 จุ 6 นัด นายแบบของสัปดาห์นี้ สิ่งที่ปรับใหม่จุดหนึ่งคือเพิ่มตัวล็อกโม่เป็นตุ่มอัดสปริงใต้บานพับ ซึ่งเป็นจุดที่รับช่วงมาจากโมเดล 69 แรงสูง .44 แม็กนั่ม ส่วนอื่นยังเป็น คอมแบ็ต แม็กนั่ม สเตนเลส ยอดนิยมเหมือนเดิม.


อัพเดทราคาล่าสุด ร้านปืนรอแยล
ราคา 129,5000 บาท

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : dailynews